Month: เมษายน 2022

เหมือนเรา เพื่อเรา

เดเร็กสังเกตว่าลูกชายของเขาไม่อยากถอดเสื้อเพื่อว่ายน้ำ เพราะเขาอายรอยปานที่อยู่บนหน้าอก ที่ท้อง และแขนซ้าย ด้วยความมุ่งมั่นที่จะช่วยลูกชาย เดเร็กยอมผ่านขั้นตอนการสักที่ยาวนานและเจ็บปวด เพื่อสร้างปานที่เหมือนของลูกชายบนตัวเขา

ความรักของเดเร็กที่มีต่อลูกชายสะท้อนถึงความรักที่พระเจ้ามีต่อบุตรชายบุตรสาวของพระองค์ เพราะเราที่เป็นบุตรของพระองค์นั้น “มีเลือดและเนื้อ” (ฮบ.2:14 TNCV) พระเยซูทรงยอมเป็นเหมือนพวกเรา ยอมรับสภาพมนุษย์และ “ร่วมในความเป็นมนุษย์” เพื่อปลดปล่อยเราจากอำนาจของความตาย (ข้อ 14 TNCV) “เหตุฉะนั้นพระองค์จึงทรงต้องเป็นเหมือนกับ[เรา]ทุกอย่าง” (ข้อ 17) เพื่อทำทุกอย่างให้ถูกต้องต่อพระเจ้าเพื่อพวกเรา

เดเร็กต้องการจะช่วยลูกชายเอาชนะความอาย เขาจึงยอมทำตัวเองให้ “เหมือน” ลูกชายของเขา พระเยซูทรงช่วยเราเอาชนะปัญหาของเราที่ใหญ่กว่านั้นมาก ซึ่งก็คือการเป็นทาสของความบาป พระองค์ทรงเอาชนะมันเพื่อเราโดยการทำพระองค์เองให้เหมือนพวกเรา ทรงแบกรับโทษบาปของเราโดยการยอมสิ้นพระชนม์แทนเรา

ความเต็มพระทัยของพระเยซูที่จะมีส่วนร่วมในความเป็นมนุษย์เหมือนพวกเรานั้น ไม่เพียงรักษาสิทธิ์ที่เราจะมีความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระเจ้า แต่ยังทำให้เราสามารถวางใจในพระองค์ในยามที่เรามีปัญหาได้ เมื่อเราเผชิญการทดลองและความยากลำบาก เราสามารถพึ่งพิงในพระองค์เพื่อรับกำลังและการช่วยเหลือ เพราะว่า “พระองค์จึงทรงสามารถช่วย...ได้” (ข้อ 18) เช่นเดียวกับพ่อที่เปี่ยมด้วยความรัก พระองค์ทรงเข้าใจและห่วงใย

ทำทุกช่วงเวลาให้มีค่า

เข็มนาฬิกาพกที่หยุดเดินในห้องสมุดของมหาวิทยาลัยนอร์ธแคโรไลน่าบอกเล่าเรื่องราวที่น่าหวาดกลัว มันระบุถึงช่วงเวลาที่ถูกต้อง (8:19 กับ 56 วินาที) ที่ อิไลช่า มิทเชลเจ้าของนาฬิกาได้ลื่นล้มและเสียชีวิตที่น้ำตกในเทือกเขาแอปพาเลเชี่ยนในเช้าของวันที่ 27 มิถุนายน 1857

มิทเชลผู้เป็นศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยกำลังรวบรวมข้อมูลเพื่อปกป้องคำกล่าวอ้าง(ที่ถูกต้อง)ของตนว่า ยอดเขาที่เขาอยู่นี้เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในภาคตะวันออกของมิสซิสซิปปี้ ซึ่งปัจจุบันมีชื่อเรียกตามชื่อของเขาว่ายอดเขามิทเชล สุสานของมิทเชลตั้งอยู่ที่จุดสูงสุดของยอดเขาไม่ไกลจากจุดที่เขาลื่นล้ม

ขณะที่ผมขึ้นไปบนยอดเขาเมื่อเร็วๆนี้ ผมไตร่ตรองถึงเรื่องราวของมิทเชลและภาวะที่ต้องตายของตัวผมเอง กับการที่เราทุกคนมีเวลาที่จำกัด และผมใคร่ครวญพระดำรัสของพระเยซูเกี่ยวกับการทรงเสด็จกลับมาที่พระองค์ตรัสกับเหล่าสาวกบนภูเขามะกอกเทศว่า “เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงเตรียมพร้อมไว้ เพราะในโมงที่ท่านไม่คิดไม่ฝันนั้น บุตรมนุษย์จะเสด็จมา” (มธ.24:44)

พระเยซูทรงบอกอย่างชัดเจนว่า ไม่มีใครรู้ว่าพระองค์จะเสด็จกลับมาและสถาปนาแผ่นดินอันเป็นนิรันดร์ของพระองค์เมื่อไร หรือพระองค์จะเรียกเราให้ละจากโลกนี้ไปหาพระองค์เมื่อไร แต่พระองค์บอกพวกเราให้เตรียมพร้อม และ “เฝ้าระวัง” (ข้อ 42)

ติ๊ก...ต้อก...“กลไกนาฬิกา” ของชีวิตเราแต่ละคนยังคงเดินอยู่ แต่จะอีกนานเท่าใด ขอให้เราใช้ชีวิตในเวลานี้ด้วยความรักกับองค์พระผู้ไถ่ผู้ทรงพระเมตตา ให้เรารอคอยและทำงานเพื่อพระองค์

กษัตริย์บนหลังลา

วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ ซึ่งในปัจจุบันเราเรียกว่าวันอาทิตย์ทางตาล ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พระเยซูเสด็จไปเยรูซาเล็ม ในฐานะชาวยิวผู้เคร่งครัด พระองค์เสด็จเข้าไปในเมืองทุกปีเพื่อเข้าร่วมสามเทศกาลใหญ่ (ลก.2:41-42; ยน.2:13; 5:1) ในสามปีที่ผ่านมาพระคริสต์ได้ทรงทำพันธกิจและสั่งสอนในเยรูซาเล็มเช่นกัน แต่วันอาทิตย์นี้การเสด็จเข้าไปในเมืองของพระองค์แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง

ด้วยการขี่ลูกลาเข้าไปที่เยรูซาเล็มในเวลาที่ผู้นมัสการนับพันกำลังเข้าไปในเมือง พระเยซูจึงทรงเป็นจุดศูนย์กลางของความสนใจ (มธ.21:9-11) ทำไมพระองค์จึงทำตัวให้โดดเด่นต่อหน้าคนนับพัน ทั้งๆที่สามปีที่ผ่านมาพระองค์ทรงตั้งใจไม่ทำตัวดึงดูดความสนใจ ทำไมพระองค์ทรงยอมรับการป่าวร้องของผู้คนว่าพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ในเวลาเพียงห้าวันก่อนการสิ้นพระชนม์

มัทธิวบอกว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นเพื่อทำให้คำพยากรณ์เมื่อห้าร้อยปีก่อนสำเร็จ (มธ.21:4-5) ว่ากษัตริย์ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไว้จะเสด็จเข้าไปยังเยรูซาเล็ม “ทรงความยุติธรรมและความรอด พระองค์ทรงอ่อนสุภาพและทรงลา ทรงลูกลา” (ศคย.9:9; ปฐก.49:10-11)

นี่เป็นการเสด็จเข้าเมืองของกษัตริย์ผู้มีชัยชนะที่ไม่ธรรมดาจริงๆ โดยปกติกษัตริย์ผู้พิชิตจะขี่ม้าที่สง่างาม แต่พระเยซูไม่ได้ทรงขี่ม้าศึก นี่แสดงให้เห็นว่าพระเยซูทรงเป็นกษัตริย์แบบใด พระองค์เสด็จมาด้วยความอ่อนสุภาพและถ่อมตน พระเยซูไม่ได้มาเพื่อทำสงคราม แต่เพื่อสันติสุข เพื่อจะทรงสถาปนาสันติภาพระหว่างพระเจ้าและพวกเรา (กจ.10:36; คส.1:20)

รถเมล์ช่างพูด

ในปี 2019 บริษัทรถประจำทางอ็อกซ์ฟอร์ดได้เปิดตัว “รถเมล์ช่างพูด” ซึ่งได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว เพราะบนรถได้จัดหาคนที่ยินดีจะคุยกับผู้โดยสารที่สนใจ รถเมล์สายนี้จัดทำขึ้นเพื่อตอบสนองต่องานวิจัยของรัฐบาล ซึ่งพบว่า ร้อยละ 30 ของคนอังกฤษ เสียเวลาอย่างน้อยหนึ่งวันต่อสัปดาห์โดยปราศจากการสนทนาที่มีความหมาย

เราหลายคนคงเคยประสบกับความเหงาที่เกิดจากการไม่มีคนคุยด้วยในยามที่เราต้องการ ขณะที่ฉันใคร่ครวญถึงคุณค่าของการสนทนาในเรื่องที่สำคัญๆในชีวิตของฉันนั้น ฉันระลึกเป็นพิเศษถึงการพูดคุยที่เต็มไปด้วยพระคุณ ช่วงเวลาเหล่านั้นทำให้ฉันชื่นชมยินดีและมีกำลังใจ และยังช่วยบ่มเพาะให้ความสัมพันธ์ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

ในตอนท้ายจดหมายถึงคริสตจักรในโคโลสี เปาโลหนุนใจผู้อ่านของท่านด้วยหลักการดำเนินชีวิตที่แท้จริงเพื่อผู้ที่เชื่อในพระเยซู รวมถึงวิธีที่การสนทนาของพวกเราจะสามารถแสดงความรักต่อทุกคนที่เราคุยด้วยได้ อัครสาวกเขียนว่า “จงให้วาจาของท่านประกอบด้วยเมตตาคุณเสมอ” (ข้อ 6) เพื่อเตือนผู้อ่านจดหมายของท่านว่านี่ไม่ใช่เพียงแค่การพูด แต่อยู่ที่คุณภาพของคำเหล่านั้นว่า “ประกอบด้วยเมตตาคุณ” ซึ่งจะทำให้คำเหล่านั้นเป็นคำหนุนใจที่แท้จริงแก่ผู้อื่น

ครั้งต่อไปที่คุณมีโอกาสสนทนาลงลึกไม่ว่าจะกับเพื่อน เพื่อนร่วมงาน หรือแม้แต่คนแปลกหน้าที่นั่งข้างคุณบนรถเมล์หรือกำลังรอรถ ขอให้หาวิธีที่จะทำให้เวลาที่อยู่ด้วยกันนั้นนำพระพรมาสู่ชีวิตของคุณทั้งสองคน

ที่อยู่ถาวร

เมื่อไม่นานมานี้เราเพิ่งย้ายไปอยู่บ้านหลังใหม่ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากหลังเดิม ถึงแม้จะอยู่ใกล้กันเรายังจำเป็นต้องขนของทั้งหมดของเราไปไว้ในรถขนย้ายเพราะเรื่องของธุรกรรมทางการเงิน ระหว่างรอการซื้อขาย ข้าวของของเราอยู่บนรถบรรทุก และครอบครัวของเราต้องหาที่พักชั่วคราว ในช่วงเวลานั้นฉันประหลาดใจที่รู้สึกเหมือนได้ “อยู่บ้าน” แม้จะไม่ใช่บ้านของเราจริงๆ นั่นเพราะว่าฉันได้อยู่กับคนที่ฉันรักมากที่สุดซึ่งก็คือครอบครัวของฉัน

ในบางช่วงของชีวิตนั้นดาวิดไม่มีบ้าน ท่านใช้ชีวิตที่ต้องคอยหลบหนีจากกษัตริย์ซาอูล ในฐานะคนที่พระเจ้าทรงเจิมให้เป็นกษัตริย์องค์ต่อไป ซาอูลมองว่าดาวิดเป็นภัยคุกคามและหาทางฆ่าท่าน ดาวิดหนีออกจากบ้านและนอนในที่ที่พอจะหลบภัยได้ แม้ว่าท่านจะมีผู้ร่วมทาง แต่สิ่งที่ดาวิดปรารถนามากที่สุดคือ “ได้อยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า” เพื่อจะชื่นชมยินดีในการร่วมสามัคคีธรรมกับพระองค์อย่างถาวร (สดด.27:4)

พระเยซูทรงเป็นเพื่อนที่อยู่เคียงข้างเราเสมอ เป็นความรู้สึกของการที่เราได้ “อยู่บ้าน” ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ใดก็ตาม พระองค์ทรงอยู่กับเราในเวลานี้ที่เรามีปัญหา และได้ทรงจัดเตรียมที่สำหรับเราเพื่อจะอยู่ร่วมกับพระองค์ชั่วนิรันดร์ (ยน.14:3) แม้เราจะต้องประสบกับความไม่แน่นอนและการเปลี่ยนแปลงในฐานะประชากรของโลกนี้ เราก็สามารถมีชีวิตอยู่อย่างถาวรในสามัคคีธรรมกับพระองค์ได้ทุกวันและในทุกแห่งหน

การเอื้อเฟื้อที่แท้จริง

“คูมาอิน กา นา บา” (คุณกินอะไรมารึยัง) นี่คือสิ่งที่คุณจะได้ยินเสมอเมื่อมาเยือนบ้านส่วนใหญ่ในฟิลิปปินส์ซึ่งเป็นบ้านเกิดของฉัน เป็นวิธีการแสดงความเอาใจใส่และความมีน้ำใจต่อแขกของชาวฟิลิปปินส์ และไม่ว่าคุณจะตอบอย่างไร เจ้าของบ้านจะเตรียมบางอย่างให้คุณกินเสมอ คนฟิลิปปินส์เชื่อว่าการมีน้ำใจที่แท้จริงนั้นไม่ใช่แค่พูดทักทายตามธรรมเนียม แต่ยังต้องทำมากกว่านั้นเพื่อแสดงความเอื้อเฟื้อจริงๆ

เรเบคาห์ก็เข้าใจเรื่องการเอื้อเฟื้อเป็นอย่างดี งานบ้านประจำวันของเธอนั้นรวมถึงการไปตักน้ำจากบ่อน้ำนอกเมืองและแบกเหยือกที่หนักอึ้งนั้นกลับบ้าน เมื่อคนใช้ของอับราฮัมซึ่งกระหายน้ำมากจากการเดินทาง ขอดื่มน้ำเล็กน้อยจากเหยือกของเธอ เธอไม่ลังเลที่จะให้เขาดื่ม (ปฐก.24:17-18)

แต่แล้วเรเบคาห์ก็ทำมากกว่านั้นอีก เมื่อเธอเห็นว่าอูฐของผู้มาเยือนกระหายน้ำ เธอจึงรีบกลับไปตักน้ำให้พวกมัน (ข้อ 19-20) เธอไม่รีรอที่จะช่วยเหลือ แม้นั่นจะหมายถึงการต้องเดินกลับไปที่บ่อน้ำอีกรอบหนึ่ง (หรือมากกว่านั้น) และกลับมาพร้อมกับเหยือกอันหนักอึ้ง

ชีวิตเป็นเรื่องยากสำหรับคนจำนวนมาก และบ่อยครั้งการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เล็กๆน้อยๆในทางปฏิบัติสามารถหนุนจิตชูใจพวกเขาได้ การเป็นช่องทางส่งต่อความรักของพระเจ้าไม่ได้หมายความถึงการเทศนาที่ทรงพลังหรือการตั้งคริสตจักรเสมอไป บางครั้งอาจเป็นแค่การให้น้ำดื่มกับใครสักคน

การโต้เถียงที่ลานจอดรถ

ฉากในลานจอดรถอาจจะดูน่าขบขันถ้าเรื่องราวไม่น่าเศร้าใจขนาดนั้น คนขับสองคนโต้เถียงกันเสียงดังเรื่องรถของคนหนึ่งที่ขวางทางรถของอีกคนหนึ่ง และมีการโต้ตอบกันด้วยคำพูดที่รุนแรง

สิ่งที่ทำให้เรื่องนี้น่าเจ็บปวดเป็นพิเศษเมื่อมองดูก็คือ นี่เป็นการทะเลาะวิวาทกันที่บริเวณลานจอดรถของคริสตจักร ชายสองคนอาจเพิ่งฟังคำเทศนาเรื่องความรัก ความอดทน หรือการให้อภัย แต่ทุกอย่างก็ถูกลืมในเวลาที่ฉุนเฉียว

ผมเดินผ่านไปพร้อมกับส่ายหัว จากนั้นผมก็ตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าผมก็ไม่ได้ดีไปกว่าพวกเขา กี่ครั้งแล้วที่ผมอ่านพระคัมภีร์แล้วก็ตกลงไปสู่ความบาปในเวลาต่อมาด้วยความคิดที่ปราศจากความเมตตา กี่ครั้งแล้วที่ผมประพฤติตนเหมือนคนที่ “ดูหน้าของตัวในกระจกเงา เพราะว่าเมื่อดูตัวเองแล้วก็ไป และก็ลืมในทันทีนั้นว่าตัวเองเป็นอย่างไร” (ยก.1:23-24)

ยากอบเรียกร้องให้ผู้อ่านไม่เพียงอ่านและไตร่ตรองถึงคำสั่งสอนของพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังให้ทำตามพระวจนะนั้นด้วย (ข้อ 22) ท่านกล่าวว่าความเชื่อที่สมบูรณ์หมายถึงทั้งการรู้พระคัมภีร์และการนำไปปฏิบัติ

สถานการณ์ของชีวิตอาจทำให้การปฏิบัติตามพระคัมภีร์เป็นเรื่องยาก แต่ถ้าเราทูลขอพระบิดา พระองค์จะทรงช่วยเราในการเชื่อฟังพระวจนะและให้การกระทำของเราเป็นที่พอพระทัยของพระองค์อย่างแน่นอน

การดี

เมื่อเป็นวัยรุ่น ชาร์ลส์ สเปอร์เจียนปล้ำสู้กับพระเจ้า เขาเติบโตมากับการไปโบสถ์ แต่คำเทศนาดูจืดชืดและไร้ความหมาย เป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะเชื่อในพระเจ้า “ดื้อรั้นและขัดขืน” คือคำที่เขาใช้พูดถึงตัวเอง คืนหนึ่งพายุหิมะที่รุนแรงบังคับให้ตัวเขาในวัยสิบหกต้องหาที่หลบในคริสตจักรเมธอดิสต์เล็กๆ คำเทศนาของศิษยาภิบาลดูเหมือนพุ่งเป้ามาที่เขาโดยตรง ในชั่วขณะนั้นพระเจ้าทรงมีชัยในการปล้ำสู้ และเขาได้มอบหัวใจให้พระเยซู 

เขาเขียนในเวลาต่อมาว่า “ก่อนที่ผมจะเริ่มต้นกับพระคริสต์ พระองค์ได้ทรงเริ่มต้นในชีวิตผมมานานแล้ว” อันที่จริงชีวิตของเรากับพระเจ้าไม่ได้เริ่มต้นในวินาทีที่รับความรอด ผู้เขียนเพลงสดุดีบันทึกว่าพระเจ้า “ทรงปั้นส่วนภายในของข้าพระองค์” ทรงถักทอเราเข้าด้วยกันในครรภ์มารดา (สดด.139:13) อัครทูตเปาโลเขียนว่า “พระเจ้าทรงเลือกข้าพเจ้าไว้ตั้งแต่กำเนิด และทรงเรียกข้าพเจ้าโดยพระคุณของพระองค์” (กท.1:15 TNCV) และพระเจ้าไม่ได้ทรงหยุดกระทำกิจในชีวิตของเราเมื่อเราได้รับความรอด “พระองค์ผู้ทรงตั้งต้นการดีไว้ในพวกท่านแล้ว จะทรงกระทำให้สำเร็จ” (ฟป.1:6)

เราทุกคนเป็นผลงานที่ก้าวหน้าในพระหัตถ์ของพระเจ้าผู้ทรงรัก พระองค์ทรงนำเราผ่านการต่อสู้ขัดขืนและเข้าสู่อ้อมกอดอันอบอุ่นของพระองค์ แต่พระประสงค์ต่อเราในเวลานั้นเป็นเพียงจุดเริ่มต้น “เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้ทรงกระทำกิจอยู่ภายในท่าน ให้ท่านมีใจปรารถนา ทั้งให้ประพฤติตามชอบพระทัยของพระองค์” (ฟป.2:13) จงวางใจเถิด เราเป็นผลงานที่ดีเยี่ยมของพระองค์ ไม่ว่าเราจะอายุเท่าไหร่หรืออยู่ในช่วงใดของชีวิต

คำปรึกษาที่ชาญฉลาด

ฉันทำงานเต็มเวลาในขณะที่เรียนวิทยาลัยพระคริสตธรรม และยังสลับผลัดเปลี่ยนไปเป็นอนุศาสนาจารย์และฝึกงานที่คริสตจักร ฉันมีงานยุ่ง เมื่อพ่อมาเยี่ยมท่านพูดว่า “ลูกกำลังจะสติแตกนะ” ฉันยักไหล่ไม่สนใจคำเตือนนั้นโดยคิดว่าท่านเป็นคนรุ่นก่อนและไม่เข้าใจในเรื่องการตั้งเป้าหมาย

ฉันไม่ได้สติแตก แต่ได้ประสบกับช่วงเวลาที่เลวร้ายมากจนตกอยู่ในภาวะซึมเศร้า ตั้งแต่นั้นมาฉันเรียนรู้ที่จะฟังคำเตือนอย่างใส่ใจมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากคนที่ฉันรัก

นั่นทำให้ฉันนึกถึงเรื่องของโมเสส ท่านทำงานอย่างแข็งขันเช่นกัน โดยปรนนิบัติรับใช้ในฐานะผู้พิพากษาชนอิสราเอล (อพย.18:13) ท่านเลือกที่จะฟังคำเตือนของพ่อตา (ข้อ 17-18) เยโธรไม่ได้มีบทบาทอะไร แต่เขารักโมเสสและครอบครัวของตนและมองเห็นปัญหาข้างหน้า บางทีนั่นอาจเป็นเหตุให้โมเสสรับฟังเยโธรและปฏิบัติตามคำแนะนำของเขา โมเสสตั้งระบบ “คนที่สามารถจากพวกประชาชน” เพื่อจัดการกับข้อพิพาทเล็กๆน้อยๆและท่านรับเอาคดีที่ยากกว่า (ข้อ 21-22) เพราะโมเสสฟังเยโธร จัดสรรงานใหม่ และมอบหมายให้คนอื่นร่วมรับภาระ ท่านจึงสามารถหลีกเลี่ยงจากสภาวะหมดไฟในช่วงเวลานั้นของชีวิต

พวกเราหลายคนทำงานเพื่อพระเจ้า เพื่อครอบครัวของเรา และคนอื่นๆอย่างจริงจังและด้วยความร้อนรน แต่เรายังคงต้องเอาใจใส่ในคำแนะนำจากคนที่เรารักและไว้ใจ และพึ่งพาพระปัญญาและฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าในทุกสิ่งที่เราทำ

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา